วันพุธที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2560

วิ่งเปี้ยวโปรเจกต์ : ถิงหยาง #8

วิ่งเปี้ยวโปรเจกต์ : ถิงหยาง #8

รัชทายาทของราชาวิลเลียม










เทียนอวี่พยายามขืนตัวออกจากอ้อมกอดของอี้เฟิงแต่อีกฝ่ายกระชับกอดแน่นยิ่งกว่าคีมเหล็กซะอีก “เจ้าบอกให้ข้าพัก งั้นเจ้าก็อยู่เป็นเพื่อนข้าก่อนสิ มาๆๆ ข้าเดินทางเหนื่อยมาทั้งวันอยากนอนเต็มแก่แล้ว”

ว่าจบอี้เฟิงก้มช้อนตัวอุ้มเทียนอวี่แล้วเดินตรงไปยังเตียงหลังใหญ่กลางห้อง เทียนอวี่ที่ตกใจกับการกระทำของอี้เฟิง ได้แต่มองคนที่อุ้มตัวเองอยู่ด้วยความงงงวย เมื่อเดินมาถึงอี้เฟิงก็ค่อยๆปล่อยเทียนอวี่ลงนอนกับเตียงแล้วตามไปคร่อมร่างเล็กไว้ “ข้ารู้นะ..ว่าท่านน่ะแอบหลงรักองค์ราชา” สิ่งที่อี้เฟิงพูดทำให้เทียนอวี่ตกใจเป็นอย่างมากเพราะไม่คิดว่าจะมีใครมองออก “ถ้าท่านไม่อยากให้ใครรู้ความลับเรื่องนี้ ..”

“ท่านต้องการอะไร!?” เทียนอวี่รีบถามความต้องการของอีกฝ่าย

“หึหึ...ก็แค่ ท่านตอบตกลงเป็นของข้าก็พอ” พูดจบอี้เฟิงก็ก้มลงบดจูบไปยังริมฝีปากเล็กๆนั้นแบบที่คนข้างใต้ไม่ทันได้ตั้งตัว เสียงจูบดังระงมไปทั่วห้อง จนเทียนอวี่ที่ไม่ประสีประสากับเรื่องแบบนี้ถึงกับตัวอ่อนยวบ เมื่อเห็นว่าคนร่างบางเริ่มหายใจไม่ทัน  อี้เฟิงจึงผละออกมา “เป็นอันตกลงตามนี้นะขอรับองค์ชายเทียนอวี่” ว่าจบอี้เฟิงก็พลิกตัวลงนอนข้างๆเทียนอวี่ กอดกระชับร่างบางไว้ ก่อนทั้งคู่จะเข้าสู่ห้วงนิทรา




ระหว่างที่จางฮั่นกำลังจะออกไปตาหาองค์รัชทายาทนั้น จู่ๆทหารในวิ่งหน้าตาตื่นผ่านมา จางฮั่นจึงรั้งตัวไว้สอบถาม “เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ”

“องค์รักษ์ป๋อหรันได้รับบาดเจ็บระหว่างฝึกซ้อมขอรับ ข้ากำลังจะไปตามหมอ”

จางฮั่นได้ยินก็แอบกระตุกในใจเบาๆก่อนจะสอบถามว่าตอนนี้คนเจ็บอยู่ที่ใด

“ข้าได้ยินว่าท่านบาดเจ็บ” จางฮั่นที่เดินเข้าบริเวณลานฝึกเอ่ยถามคนเจ็บ

“ท่านเป็นห่วงข้า...งั้นเหรอ” ป๋อหรันแอบหัวเราะในลำคอที่เห็นอีกฝ่ายมีท่าทางลนลานกับคำถามของตัวเอง

“ข้า..แค่ผ่านมาทางนี้” จางฮั่นพูดพลางหลบสายตาอีกฝ่าย

“ผ่านมาก็ผ่านมา งั้นไหนๆก็มาแล้ว ท่านทำแผลให้ข้าหน่อยสิ” ป๋อหรันแหวกสาบเสื้อข้างซ้ายออกเผยให้เห็นหัวไหล่ขาวที่มีรอยแผลจากดาบเป็นทางยาวประดับอยู่
จางฮั่นชะงักไปจนอีกฝ่ายต้องสะกิดเรียก “นี่..ท่าน..ท่านจางฮั่น! ทำแผลให้ข้าเร็วๆสิ”
จางฮั่นที่ได้สติค่อยๆยื่นมือที่สั่นเทาของตัวเองไปทำแผลให้อีกฝ่าย /ท่าจางฮั่นนี่ใสซื่อจริงเลยนะ..ฮึ/ ป๋อหรั๋นแอบคิดอยู่ในใจ





ในช่วงเย็นหลังจากรับประทานอาหารกันเสร็จเรียบร้อย องค์ราชาวิลเลียมจึงพาหยางหยางมานั่งเล่นยังศาลากลางน้ำที่ด้านล่างเป็นสระบัวหลากสีที่กำลังแข่งกันผลิบาน
“ข้าขอถามได้หรือไม่ ทำไมท่านถึงพาข้ามาที่เมืองของท่าน” หยางหยางหันมาประชันหน้ากับคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง

“เจ้าก็น่าจะพอรู้อยู่แล้วนะว่าทำไม” องค์ราชาวิลเลียมใช้ปลายนิ้วค่อยๆไล้แก้มใส

10ปีมาแล้วสินะ ตอนนี้ข้าคิดว่า..ข้าคงปล่อยเจ้ามานานเกินไปแล้ว”

หยางหยางหันหน้าหนีก่อนจะหันหลังเดินไปเกาะราวกั้นแล้วมองไปยังดอกบัวด้านล่าง 

“แล้วท่านไม่คิดจะถามความสมัครใจของข้าบ้างเลยหรือไรกัน”

องค์ราชาวิลเลียมเดินมาช้อนด้านหลังร่างโปร่ง ก่อนจะค่อยๆสอดแขนกอดเอวสอบ ใช้คางเกยไหล่เล็กไว้

“ข้าน่ะ แทบไม่รู้จักท่านเลยด้วยซ้ำ จู่ๆก็ต้องออกมาอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ท่านคิดว่าข้าควรรู้สึกอย่างไรกัน” องค์ราชาวิลเลียมกระชับอ้อมกอดให้แน่นกว่าเดิม แล้วกระซิบข้างหูคนคนตรงหน้า “ข้าขอโทษ” ก่อนจะจุมพิตลงที่ขมับของหยางหยางเป็นการปลอบประโลม “ข้าอาจจะรีบร้อนเกินไป แต่ข้ารอเจ้ามาตั้ง10ปีแล้วนะ ข้ารอต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว”

หยางหยางค่อยๆหันมาหาคนด้านหลัง “แล้ว10ปีที่ผ่านมา ท่านหายไปไหนกัน”

“ข้าขอโทษ..งั้นนับตั้งแต่วินาทีนี้ เรามาทำความรู้จักกันใหม่ดีหรือไม่ แต่ข้ามั่นใจอย่างหนึ่งแล้วว่าเจ้าน่ะ...” ร่างสูงของราชาวิลเลียมโน้มตัวลงไปจนหน้าผากและปลายจมูกแนบชิดกับอีกฝ่าย “เจ้าชอบข้าแล้ว..หึ”


“เห๊อะ!” ได้ยินอย่างนั้นหยางหยางผลักคนตรงหน้า “คนอะไรหลงตัวเองชะมัด ข้าไม่คุยกับท่านแล้ว!” พูดจบก็เดินหนี เพราะตอนนี้หยางหยางรู้ตัวเองว่าหน้าของเค้าต้องแดงมากแน่นอน /องค์ราชาบ้า ร้ายกาจที่สุดเลย/ ถึงในใจจะต่อว่าอีกฝ่ายแต่ตอนนี้ หยางหยางก็ไม่สามารถหุบยิ้มได้เลย




----------------------------------------TBC-------------------------------------------

วันอาทิตย์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2560

朋友... (Li Yifeng x Ma Tianyu)



朋友...(Péngyǒu)

(Li Yifeng x Ma Tianyu)







ก๊อกๆๆ..

“อ้าว เสี่ยวฝาน มาหาซื่อเหรอจ๊ะ” แม่บ้านที่เปิดประตูเอ่ยทักทาย

“ใช่ฮะ ว่าจะมาชวนซื่อไปเที่ยวที่ตลาด”

“เข้ามาก่อนสิ ซื่ออยู่ในห้องจ๊ะ”เสี่ยวฝานก้าวข้ามประตู ก่อนจะวิ่งไปตามทาง เขารู้จักบ้านหลังนี้ดีเหมือนเป็นบ้านหลังที่สอง นั้นเพราะเสี่ยวฝานมักมาเที่ยวเล่นที่บ้านของ   อินกงซื่อตั้งแต่จำความได้



“ซื่ออออออ ซื่อจ๋าาาา” เสี่ยวฝานผลักประตูเข้ามาแล้ววิ่งไปกอดเจ้าของห้องแบบเต็มรัก

“อ๊ะ! เสี่ยวฝาน กอดเบาๆก็ได้ ตัวข้าช้ำหมดแล้ว” อินกงซื่อเอ็ดเพื่อน ก่อนตีแขนเพื่อนไปเบาๆหนึ่งที

“ก็ข้าคิดถึงซื่อนี่หน่า ฟอดดด” เสี่ยวฝานยังกอดเพื่อนตัวน้อยไว้ พอพูดจบก็หอมแก้ม กลมๆนั้นอีกฟอดใหญ่

“เจ้านี่นะ ทำไมชอบกอดชอบหอมข้าจัง” ซื่อพูดพลางส่ายศีรษะเบาๆ

“ก็ซื่อตัวหอม ตัวนุ่ม ข้าชอบ คิคิ” พูดพลางใช้ศีรษะถูไถไปบนไหล่เล็กนั้น

“อือออ วันนี้เราไปเที่ยวในตลาดด้วยกันนะ ข้าได้ยินว่าจะมีคณะละครจากต่างเมืองมาแสดงด้วยล่ะ”

“ได้สิ งั้นข้าไปบอกท่านพ่อก่อนนะ”

“ได้ๆ ไปกันเลยยยย” เสี่ยวฝานลุกขึ้นก่อนจะจับมือเพื่อนเดินออกจากห้องไปยังห้องโถงของบ้าน



          “โอ๊ะ! ขออภัย ข้าไม่ทราบว่าท่านพ่อมีแขก” อินกงซื่อเดินเข้ามายังห้องโถงก็พบท่านเจ้าบ้าน พร้อมกับแขกอีกสองท่านนั่งคุยกันอยู่

“ไม่เป็นไรๆ เออนี่..ซื่อมาหาพ่อสิลูก” อินกงซื่อรับคำก่อนเดินไปยืนข้างๆท่านพ่อ

“นี่อินกงซื่อ ลูกชายของข้าเอง .. ส่วนนี่ ลุงหลิวกับลูกชาย หลินเกิงซิน”

“สวัสดีขอรับ” อินกงซื่อโค้งคำนับเป็นการทักทาย

“อืมม ไม่เจอกันตั้งนาน โตเป็นหนุ่มแล้วหรือนี่” ลุงหลิวเอ่ยทักทายเล็กน้อย

“แล้วเจ้ามาหาพ่อมีอะไรรึ” ผู้เป็นพ่อเอ่ยถามลูกชาย

“อ่า เสี่ยวฝานชวนข้าไปเที่ยวดูการแสดงละครในตลาดน่ะขอรับ”

“อืมมม งั้นดีเลย พาเกอเขาไปด้วยสิ เพิ่งเคยมาเมืองนี้จะได้ไปเปิดหูเปิดตา ดีไหมเกิงซิน” พูดกับลูกชายก่อนจะหันไปเอ่ยถามความคิดเห็นจากผู้มาเยือน

“น่าสนใจดีนะขอรับ เกอไปด้วยได้หรือไม่” เกิงซินหันมองไปยังอินกงซื่อจนอีกคนได้แต่หลบสายตาแล้วตอบกลับไปเบาๆ “ได้ขอรับ”



          “เอออ..นี่เกิงซินเกอ แล้วนี่ก็เสี่ยวฝานเพื่อนของข้า” อินกงซื่อเป็นฝ่ายแนะนำทั้งสองให้รู้จักกัน

“แล้วพาพี่ชายเขามาด้วยทำไมละซื่อ” เสี่ยวฝานที่เห็นว่าซื่อพาคนแปลกหน้ามาด้วยถามขึ้น

“พอดีว่าเกิงซินเกอเพิ่งมาจากต่างเมือง เราขอพาเกอเขาไปด้วยกันนะ” ซื่อพูดพลางจับมือเพื่อนเขย่าอย่างอ้อนๆ

“ข้า.....ก็ได้” ใจจริงเสี่ยวฝานอยากปฏิเสธออกไป เพราะอยากจะไปเที่ยวกับซื่อแค่สองคน แต่เห็นสายตาเพื่อนตัวน้อยแล้วก็ปฏิเสธไม่ลง



          ระหว่างทางเที่ยวชมตลาดหลินเกิงซินก็คอยชักชวนอินกงซื่อถามถึงสิ่งของต่างๆภายในตลาดอย่างสนอกสนใจ เพราะสินค้าบางอย่างภายในตลาดแห่งนี้ที่บ้านเกิดของเค้าก็ไม่เคยพบเห็นมาก่อน จนทำให้เสี่ยวฝานอดที่จะน้อยใจไม่ได้ เพราะซื่อให้ความสนใจพี่ชายต่างเมืองมากกว่าตัวเองที่เป็นคนชวนมา




          หลังจากวันที่เที่ยวชมตลาด เสี่ยวฝานก็ยังแวะเวียนมาหาซื่อที่บ้านเฉกเช่นทุกวัน แต่อินกงซื่อก็มักออกไปข้างนอกกับพี่ชายต่างเมืองตลอด ทำให้เสี่ยวฝานโมโหพี่ชายต่างเมืองที่มาแย่งความสนใจจากเพื่อนสนิทของตนเอง


วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เสี่ยวฝานมาหาอินกงซื่อที่บ้าน และเป็นโชคดีที่วันนี้อินกงซื่อไม่ได้ออกไปข้างนอกเสียก่อน

          “อ้าว เสี่ยวฝาน...เป็นอะไร ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ” ซื่อที่เห็นสีหน้าของอีกฝ่ายดูไม่สบอารมณ์เอาเสียเลย

“ก็เจ้านั้นแหละ ทำไมไปไหนถึงไม่บอกข้า หรือว่าข้าไม่สำคัญกับเจ้าแล้ว” เสี่ยวฝานนั่งลงที่เก้าอี้ว่างข้างๆแต่หันหลังให้

“ไม่ใช่นะ ทำไมเจ้าคิดแบบนั้นล่ะ เสี่ยวฝานยังเป็นคนสำคัญสำหรับข้าอยู่นะ” ซื่อว่าพลางกอดแขนเพื่อนไว้แน่น

“แล้วทำไมหมู่นี้เจ้าไปไหนมาไหนแต่กับเกิงซินเกอ คงไม่ใช่ว่า...เจ้าชอบเค้าหรอกนะ” พูดด้วยน้ำเสียงน้อยใจ ก่อนท้ายประโยคจะถามออกไปด้วยเสียงแผ่วเบา

“เอ๋...เจ้าไปเอาความคิดนี้มาจากไหนกัน”

“ก็ช่วงนี้อะไรเจ้าก็เกิงซินเกอๆๆๆตลออดเลยนี่!!” เสี่ยวฝานหันมาประจันหน้ากับเพื่อนก่อนจะโพ้งออกมา

“ละ..แล้วทำไมเจ้า เจ้าต้องตะคอกข้าด้วยละ...อึก” ซื่อที่ไม่เคยถูกเพื่อนพูดะคอกแบบนี้มาก่อน ผงะออกไป ก่อนจะสะอื้นเบาๆด้วยความตกใจ


เสี่ยวฝานที่โมโหเมื่อครู่ เห็นเพื่อนตัวน้อยตกใจจนร้องไห้ถึงเริ่มรู้สึกตัวว่าตัวเองทำให้อีกฝ่ายเสียน้ำตา จึงรีบเข้าไปกอดปลอบ

“ซื่ออออ ข้าขอโทษๆๆ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะพูดแบบนั้นเลยนะ เจ้าอย่าร้องไห้สิ” อินกงซื่อได้แต่เพียงก้มหน้าร้องไห้สะอื้นอยู่บนไหล่ ให้อีกฝ่ายได้แต่กระชับกอดลูบหัวปลอบกันอยู่พักใหญ่

“ซื่ออย่าโกรธข้าเลยนะ ข้าสัญญาว่าจะไม่ตะคอกเจ้าอีกแล้ว หยุดร้องไห้เถอะนะ” เสี่ยวฝานค่อยๆดันตัวอินกงซื่อออกมาเผชิญหน้ากัน อินกงซื่อที่บัดนี้หน้าตาเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตา ดวงตาบวมแดงไปหมด เสี่ยวฝานค่อยๆใช้นิ้วเกลี่ยไล้แก้มขาวเบาๆเพื่อเช็ดน้ำตาให้ ก่อนจะโน้มหน้าลงไปจูบที่หางตาอีกฝ่ายเบาๆ

“อ๊ะ! สะ เสี่ยวฝาน ทะ ทำ ทำไม...” อินกงซื่อต้องตกใจอีกรอบเพราะคนตรงหน้า

“จริงๆแล้วข้าน่ะ ชอบ...ไม่สิ ข้ารักซื่อ รักมาตั้งนานแล้วล่ะ” เสี่ยวฝานสารภาพออกมาก่อนจะพูดต่อ “ข้ากลัวว่า ถ้าบอกเจ้าแล้วเจ้าจะเกลียดข้า แต่ตอนนี้..ถ้าข้าไม่บอก ข้าก็กลัวว่าจะเสียเจ้าไป”

“เสี่ยวฝาน...เจ้า” อินกงซื่ออุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ

“ถึงตอนนี้เจ้ารู้ความจริงแล้ว เจ้าจะเกลียดข้าหรือเปล่า” เสี่ยวฝานจ้องมองเข้าไปในดวงตาอินกงซื่อเพื่อแสดงให้อีกฝ่ายเห็นถึงความจริงจังในสิ่งที่พูด

“ละ แล้วทำไมเจ้าไม่บอกกับข้าดีๆละ ข้าไม่ชอบเลยที่เจ้าตะคอก อย่าทำอีกนะ” เสี่ยวฝานรีบพยักหน้ารัวๆทันที “ข้าน่ะ ข้าาา ไม่ได้เกลียดเสี่ยวฝานหรอกนะ เพราะข้าก็...รักเจ้าเหมือนกัน” อินกงซื่อพูดเสียงแผ่วเบาด้วยความเขินอาย ตอนนี้นอกจากตาที่แดงแล้วก็ยังมีแก้มที่เปลี่ยนจากสีขาวกลายสีแดงจนน่าหอมให้ช้ำ

“โอ๊ยยยย ซื่ออออ ข้าดีใจที่สุดเลยยยย...จุ๊บๆๆๆๆ” เสี่ยวฝานดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่รีบพุ่งเข้าไปกอดคนตรงหน้า แล้วจุ๊บเข้าที่ปากเล็กๆนั้นรัวจนคนโดนจูบต้องรีบเอ่ยห้ามก่อนที่ปากจะช้ำไปเสียก่อน

“อืออออ เสี่ยวฝานปล่อยข้าก่อน อืออออ พะ พอแล้ว ปากข้าช้ำหมดแล้ว”

“ก็ข้าดีใจนี้หน่า ต่อไปนี้เจ้าน่ะ เป็นคนรักของข้าแล้วนะ ห้ามเจ้าออกไปไหนมาไหนกับผู้ชายคนอื่นอีกเป็นอันขาด ไม่เช่นนั้นข้าจะทำโทษเจ้า” เสี่ยวฝานพูดบอกพลางจิ้มไปที่จมูกเล็กๆ

“งื้ออออ ทำโทษอะไรกัน เจ้าคิดไปเองทั้งนั้น อย่ามาโทษข้านะ”

“ก็เจ้านั้นแหละทำให้ข้าคิดมาก มาให้ข้าลงโทษซะดีๆ” เสี่ยวฝานพยายามโน้มหน้าลงไปจูบอินกงซื่ออีก แต่อินกงซื่อขืนตัวออกจาอ้อมกอดก่อนจะวิ่งหนีอีกฝ่าย

“แน่จริงก็จับข้าให้ได้ก่อนสิ เจ้าคนคิดมาก แบร่~

“หึ..ให้ข้าจับเจ้าให้ได้ก่อนเหอะซื่อ ข้าจะจูบให้ปากเจ้าช้ำเลยคอยดูสิ”


------------------------------------------------END-------------------------------------------


วันอังคารที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2560

Bride

          

Bride

(YangYang x Li Yifeng)










“อี้เฟิง วันนี้พวกเราจะไปร้านเค้กหน้ามหาลัย ไปด้วยกันไหม?”

เสียงเพื่อนร่วมเซ็คเดินมาถาม “อี้เฟิง” ชายหนุ่มร่างโปร่งใส่แว่นหนาเตอะกำลังเก็บของลงกระเป๋าของตัวเองอย่างไม่รีบร้อน

“มะ...ไม่ละ พวกเธอไปกันเหอะ เรามีธุระน่ะ” อี้เฟิงตอบ เพราะโดยปกติเค้าเป็นพวกเด็กหน้าห้อง ไม่คบค้าสมาคมกับใคร ในแต่ละวันของอี้เฟิงก็วุ่นอยู่แค่กับการอ่านหนังสือเท่านั้น


          ออกจากห้องอี้เฟิงเดินไปตามเส้นทางที่คุ้นเคย เส้นทางที่เค้าเดินไปเป็นประจำ เดินลัดเลาะไปตามตึกได้สักพักอี้เฟิงก็มาหยุดอยู่ข้างสนามบาส วันนี้ผู้คนดูจะแน่นขนัด “สงสัยวันนี้มีแข่งบาสอีกแล้วละ” อี้เฟิงคิดในใจ

“หยางหยาง นู้นๆ น้องแว่นเอ็งมาละ” เพื่อนร่วมทีมเดินมาสะกิดหยางหยาง ผู้เป็นกัปตันทีมบาสของมหาวิทยาลัยแห่งนี้ “น้องแว่น” ที่เพื่อนพูดถึงจริงๆแล้วเป็นใคร คณะอะไร อยู่ปีไหน หยางหยางเองก็ไม่รู้หรอก แค่ช่วงหลังมานี้เค้ามักเห็นคนคนนี้ มานั่งอยู่ข้างสนามบาสในทุกๆเย็น จนวันที่น้องแว่นไม่มาหยางหยางได้แต่ชะเง้อคอยมองหาจนโดนๆเพื่อนๆแซวกันไปตามระเบียบ

“พูดไป เค้าเป็นรุ่นน้องหรือเปล่ายังไม่รู้เลย” พูดกับเพื่อนแต่สายตาหยางหยางยังคงไม่ละจากใบหน้าที่ถูกสวมทับด้วยแว่นตานั้น

          อี้เฟิงพยายามมองหาที่นั่งว่างๆแต่ดูเหมือนวันนี้เค้าจะมาช้าเกินไป เพราะที่นั่งส่วนมากถูกจับจองหมดแล้ว อี้เฟิงถอนหายใจ ก่อนจะกลับหลังหันออกไปยังต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ติดกับสนามบาสทรุดตัวลงนั่งใต้ต้นไม้ จากมุมนี้เค้าสามารถมองดูการแข่งขันในสนามได้ถึงจะไม่ได้เห็นใกล้ๆเหมือนทุกวันก็เถอะ นั่งมองนักกีฬาวอร์มร่างกายสักพักใหญ่ อี้เฟิงก็หยิบสมุดจดที่พกติดตัวเป็นประจำขึ้นมาและเริ่มขีดเขียน

“วันที่ XX/XX/XX
เค้าใส่เสื้อกล้ามสีส้ม กางเกงสีดำ ดูท่าทางวันนี้คงมีแข่งบาสแมตต์ใหญ่น่าดูเลยละ คนเต็มสนามบาสเลยทีเดียว แต่เสียดายจังที่ไม่ได้เข้าไปดูใกล้ๆ ... ป.ล.วันนี้น้องเค้าหล่อมากเลยละ :)

ก่อนจะหยิบกล้องโพลาลอยด์ออกมาจากกระเป๋า หามุมดีๆก่อนกดชัตเตอร์ แม้รูปจะมองไม่เห็นคนคนนั้นก็ตาม อี้เฟิงค่อยๆบรรจงติดมันลงไปบนหน้าสมุดบันทึกของวันนี้
นี่ก็เป็นอีกหนึ่งในกิจวัตรประจำวันของอี้เฟิงนอกจากการเรียนและอ่านหนังสือ

          บรรยากาศในสนามบาสจบลงด้วยเสียงโห่ร้องให้กับชัยชนะของทีมบาสมหาลัย ก่อนที่ผู้คนจะเริ่มทยอยแยกย้ายกันกลับบ้าน อี้เฟิงที่เก็บของเสร็จค่อยๆลุกขึ้นเพื่อเดินทางกลับบ้านเช่นกัน

          “นี่! หยางหยาง น้องแว่นของเอ็งเดินมาทางนี้ว่ะ” นักกีฬาทุกคนกำลังล้างหน้าล้างตาอยู่ที่อ่างล้างมือข้างสนามบาส เพื่อนคนเดิมของหยางหยางก็ทักขึ้น

“ฟังมึงพูดเข้า น้องเค้ามาเป็นของกูตอนไหนว่ะ” หยางหยางที่โดนแซวแกล้งโมโหกลบเกลื่อน

“ตอนไหน...ก็ตอนนี้แหละ”

“เห้ย!!” หยางหยางถึงขั้นร้องเสียงหลงเมื่อถูกเพื่อนผลักอย่างแรง ก่อนหันไปปะทกับคนที่เดินผ่านเข้าอย่างจัง

“อ๊ะ! ...” ฝ่ายถูกชนโดยไม่ทันตั้งตัวทำเอาหนังสือที่อยู่ในอ้อมแขนร่วงลงกับพื้นพร้อมๆกับแว่นตาที่กระเด็นออกจากใบหน้า ส่วนตัวคนถือเองท่าทางกำลังจะร่วงลงกับพื้นเช่นเดียวกัน แต่ด้วยความปราดเปรียวของนักกีฬาแล้วนั้น หยางหยางคว้าหมับเข้าแขนซ้าย ก่อนมือที่ว่างอีกข้างจะสอดเข้ากับเอวสอบนั้นแล้วกระชับไว้แน่น

อี้เฟิงที่หลับตาเตียมรับแรงกระแทกได้แต่นึกเอ๊ะใจ ตัวเองที่น่าจะถึงพื้นแล้วทำไมถึงไม่รู้สึกเจ็บ ทำไมให้อี้เฟิงค่อยๆลืมตา แต่ทันทีที่ลืมตาสิ่งที่เห็นตรงหน้าไม่ใช่ท้องฟ้า แต่กลับเป็นคน คนที่อี้เฟิงไม่คิดว่าจะได้เห็นในระยะใกล้กันขนาดนี้ ใกล้จนขนาดที่ว่าถึงไม่ได้ใส่แว่นเค้าก็ยังมองเห็นคนตรงหน้าได้ชัดเจน

“เอ่ออ...ขอโทษนะครับ พอดี เพื่อนผมมันแกล้งน่ะ” หยางหยางที่เห็นอีกฝ่ายลืมตาขึ้นก็รีบกล่าวขอโทษทันที 

“มะ..ไม่ ไม่เป็นไร เอ่อออ ชะ..ช่วยปล่อยเรา..” อี้เฟิงเกิดอาการประหม่าคล้ายจะหาเสียงตัวเองไม่เจอ

“โอ๊ะ ขอโทษครับๆ” หยางหยางที่ถูกทักรีบปล่อยมือจาก แล้วขอโทษขอโพ้ยอีกฝ่าย
ต่างคนต่างยืนนิ่งอยู่พักใหญ่หยางหยางได้สติก่อนก้มลงหยิบหนังสือคืนให้

“นี่ครับหนังสือ ขอโทษจริงๆนะครับที่ทำหนังสือเปื้อนหมดเลย”

“มะ..ไม่เป็นไรๆ” อี้เฟิงยื่นมือที่สั่นน้อยๆไปรับหนังสือคืนมา

“แต่ว่าแว่นตา.....” หยางหยางหยิบแว่นขึ้นมาจากพื้น ก่อนจะพบว่าเสนส์แว่นแตกละเอียดจนหลุดร่วงออกจากกรอบไปแล้วบางส่วน

“ไม่ ไม่เป็นไร เดี๋ยว เดี๋ยวเราเอาไปซ่อมเอง” อี้เฟิงพยายามคว้าแว่นตาจากมือคนตรงหน้าด้วยสายตาที่ไม่ได้มองผ่านเลนส์แว่น ทำให้หยางหยางได้แต่อมยิ้มกับกริยาคนตรงหน้า

“เอาอย่างนี้ดีกว่าครับ” พูดจบมือนึงก็คว้าหนังสืออีกมือก็คว้าแขนของอี้เฟิงไว้ “เรื่องแว่นเดี๋ยวผมชดใช้ให้เอง ตอนนี้ให้ผมไปส่งที่บ้านดีกว่านะครับ” อี้เฟิงที่สายตาตอนนี้แค่จะเดินออกจากไปถึงหน้ามหาลัยยังเป็นเรื่องยาก ได้แต่เดินตามอีกฝ่ายไป

หยางหยางเปิดประตูก่อนจะดันตัวอี้เฟิงเข้าไปในรถ ส่วนตัวเองก็ขึ้นรถแล้วขับออกจากมหาลัย หลังจากถามที่อยู่เรียบเสร็จสรพพแล้ว หยางหยางจึงชวนอีกฝ่ายคุยเพื่อทำลายบรรยากาศที่เงียบสนิทบนรถ

“ผมชื่อหยางหยาง อยู่ปี2 แล้ว....”

“เรา..ชื่ออี้เฟิงอยู่...ปี3”

“งั้นผมก็ต้องเรียกว่า อี้เฟิงเกอสินะครับ” อี้เฟิงไม่ได้ตอบอะไรอีกจนเมื่อ รถจอดสนิทอยู่หน้าบ้านหลังใหญ่สองชั้นสีขาวสะอาดตา หยางหยางเดินไปกดกริ่ง ก่อนจะกลับมาเปิดประตูให้อี้เฟิง

“อ้าว .. อี้เฟิง แว่นไปไหนละลูก” หญิงสาวที่น่าจะเป็นคุณแม่ของอี้เฟิงทักขึ้นเมื่อเห็นลูกชาย

“พอดีผมทำแว่นอี้เฟิงเกอเค้าแตกน่ะครับ ต้องขอโทษด้วยนะครับ” หยางหยางที่เพิ่งทราบชื่ออีกฝ่าย กล่าวขอโทษพลางก้มหัวให้ผู้อาวถโสกว่า

“งั้นเหรอ ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ เอ๋...ว่าแต่นี่หยางหยางใช่ไหมลูก” มารดาของอี้เฟิงเอ่ยถามหลังจากพิจรณาบุคคลที่ขับรถมาส่งลูกชาย

“อ่า ใช่ครับ” หยางหยางเกิดอาการงุนงงเล็กน้อย

“น้าเป็นเพื่อนกับแม่เราเองแหละจ๊ะ ตอนนั้นเรายังเด็กแล้วก็ไม่ได้เจอกันนานแล้วเราคงจำน้าไม่ได้”

“อ่าาา ครับ” หยางหยางตอบรับ

“เข้ามาในบ้านก่อนสิ อยู่ทานข้าวเย็นกับน้ากับอี้เฟิงเค้าด้วย ...มาๆๆๆ” ไม่รอคำตอบผู้เป็นมารดาของอี้เฟิงก็เดินนำเข้าไปในบ้านเสียแล้ว ปล่อยให้ลูกชายกับแขกผู้มาเยือนได้แต่ยืมมองหน้ากันอยู่อย่างนั้น ก่อนหยางหยางจะพาอี้เฟิงเข้าไปในตัวบ้าน

หยางหยางนั่งรอที่โซฟารับแขกในระหว่างที่อี้เฟิงขอตัวขึ้นไปบนห้องเพื่อหยิบแว่นอันใหม่ ส่วนผู้เป็นแม่ง่วนอยู่กับการตั้งโต๊ะอาหาร

บรรยากาศพูดคุยบนโต๊ะอากาศวันนี้ดูมีสีสันขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อมีแขกมาเยือน

“อ้าว นี่หยางหยางเรียนที่เดียวกับอี้เฟิงหรอกเหรอ อี้เฟิงไม่เห็นเล่าให้ม้าฟังเลย”

“ก็ไม่เห็นมีอะไรต้องเล่าสักหน่อย” อี้เฟิงได้แต่ก้มหน้าก้มตาตักอาหารใส่ปากเพราะไม่กล้าเงยหน้า กลัวที่จะต้องสบตากับคนฝั่งตรงข้าม

“เรานี่นะ ได้เจอนน้องไม่ดีใจหรอกเหรอ เห็นมองรูปน้องในกรอบบนหัวเตียงเช้าเย็น”
“ม้า!! แค่กๆๆ” อี้เฟิงถึงกับสำลักเมื่อมารดาพูดขึ้นเพราะอี้เฟิงไม่คิดว่าผม่จะรู้เรื่องนี้

หยางหยางมองหน้าคนที่สำลักจนหน้าดำหน้าแดงก่อนจะหัวเราะออกมาเบาๆแล้วได้แต่ยืนแก้วน้ำส่งให้

“แถมตอนน้องยังเด็กๆ เรายังสัญญากับน้องเลยว่าเราน่ะจะเป็นเจ้าสาวของน้อง”

“ม้า!!!!” อี้เฟิงแว๊ดขึ้นมาอีกรอบหลังจากสำลักอยู่นาน

“หรือว่า..แหวนวงนี้” หยางหยางหยิบแหวนที่ห้อยติดกับสร้อยคอออกมาดู

“ใช่แล้วจ๊ะ นั่นนะของหมั้นอี้เฟิงเค้าละ ตอนเด็กๆเราน่ารักจะตาย เหมือนลูกแกะตัวน้อยๆเลย อี้เฟิงงี้ติดเราแจ จนมาบอกกับม้าว่ายังไงก็จะเป็นเจ้าสาวของเราให้ได้เลย” ตอนนี้อี้เฟิงทำได้แค่นั่งก้มหน้าซ่อนความเขินอายเอาไว้

          จริงๆแล้วอี้เฟิงจำหยางหยางได้ตั้งแต่วันแรกที่หยางหยางเข้ามายังรั้วมหาลัย หลังจากวันนั้นอี้เฟิงก็ได้แต่คอยตามดูน้องอยู่ห่างๆ ครั้นจะเดินเข้าไปทักก็คงจะดูแปลกเกินไป
อี้เฟิงยังจำคำพูดตัวเองตอนเด็กได้ดี ว่าโตขึ้นเค้าจะเป็นเจ้าสาวของหยางหยาง แต่คิดว่าอีกฝ่ายคงจำเรื่องของเค้าไม่ได้แล้ว จนวันที่ได้เจอหยางหยางอีกครั้งเหมือนความทรงจำเก่าๆหวนคืนกลับมา อี้เฟิงที่เกือบลืมไปแล้วเช่นกันว่าเคยรู้สึกกับคนคนนี้ 

          หลังจากพูดคุยรำลึกความหลังอยู่นาน หยางหยางก็เอ่ยขอตัวลาเพื่อกลับบ้าน มารดาของอี้เฟิงรบเร้าให้อี้เฟิงออกไปส่งแขกที่หน้าบ้าน

“เดี๋ยวสิครับ” หลังจากเปิดประตูบ้านให้อีกฝ่ายอี้เฟิงก็แทบจะวิ่งกลับเข้าไปในบ้านเสียให้ได้ แต่ก็ถูกหยางหยางรั้งตัวไว้เสียก่อน

“อี้เฟิงเกอ...ยังอยากจะเป็นเจ้าสาวของผมไหมครับ” อี้เฟิงที่กำลังพยายามดึงแขนออกเมื่อถูกหยางหยางถาม ถึงกับหยุดนิ่ง ถลึงตามองคนตรงหน้า

          ตอนเด็กๆเวลามองแหวนวงนี้หยางหยางนึกคลับคลายคลับคลาว่าตอนเด็กๆได้เจอกับพี่ชายหน้าตาน่ารักคล้ายลูกแมว หยางหยางจึงถามมารดาถึงที่มาของแหวน จนเมื่อมารดานำอัลบั้มรูปเก่าๆมาให้ดู ความรู้สึกคุ้นเคยแปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูกเกิดขึ้นในใจหยางหยางเมื่อได้เห็นรูปภาพของอี้เฟิงอีกครั้ง หยางหยางแอบคิดอยู่ในใจว่าโตมาพี่ชายคนนี้จะยังน่ารักเหมือนลูกแมวอยู่ไหม แล้วอยากจะเป็นเจ้าสาวของเค้าจริงๆหรือเปล่า?

“แต่ถึงคำตอบพี่จะเป็นแบบไหน..” หยางหยางค่อยๆขยับใบหน้าเข้าใกล้จนเกือบชิดปลายจมูกอี้เฟิง “ผมก็จะทำให้พี่เป็นเจ้าสาวของผมให้ได้.../จุ๊บ” ไม่รอให้อี้เฟิงได้มีโอกาศพูดหยางหยางฉวยโอกาศจูบลงไปบนริมฝีปากแดงสีกุหลาบนั้น “มัดจำไว้ก่อนนะครับ เจ้าสาวของผม” .....



          -------------------------------จอ บอ จบ----------------------------------

วันพฤหัสบดีที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2560

วิ่งเปี้ยวโปรเจกต์ : ถิงหยาง #5



วิ่งเปี้ยวโปรเจกต์ : ถิงหยาง #5

รัชทายาทของราชาวิลเลียม

ตอนที่ 1

ตอนที่ 2

ตอนที่ 3

ตอนที่ 4





“ฮืออออ อี้เฟิงงงงงง” รัชทายาทหยางหยางที่เห็นเพื่อนโมโหยกใหญ่ รีบวิ่งไปกอดเอวไว้แน่น เพราะรู้ว่าเพื่อนคนนี้แพ้ลูกอ้อนของเค้าอยู่แล้ว ส่วนองค์รักษ์ทั้งสองเมื่อเห็นเจ้านายปลอดภัยดีแล้วจึงแยกย้ายกันไป

“หายไปไหนมา เราเป็นห่วงเจ้าแทบแย่” อี้เฟิงไม่ได้โกรธเคืองอะไร แค่เป็นห่วงเพื่อนตัวน้อยเท่านั้น “แล้วใครกันที่พาเจ้ากลับวัง”

“พระราชาวิลเลียมหน่ะ” หยางหยางตอบพลางหลบสายตาเพื่อนสนิท

“อ่อออ คนที่เจ้าเคยบอกว่าน่ากลัวหน่ะเหรอ....ว่าแต่ ...แค่พูดชื่อเค้าทำไมเจ้าต้องหน้าแดงด้วยละ ห๊ะ!” อี้เฟิงที่มีนิสัยช่างแกล้งช่างหยอกอยู่แล้วรีบเอ่ยแซวเพื่อนยกใหญ่

“ปะ เปล่า..เปล่านะ คะ แค่ เออออ .. แค่ข้ารีบวิ่งมาก็เลยร้อน” หยางหยางรีบก้มหน้าเพื่อปกปิดความเขินอายนี้ ทั้งจากการนึกถึงเรื่องในตลาดทั้งที่โดนเพื่อนสนิทเอ่ยแซว

“แต่ข้าว่าเจ้าหน้าแดงเพราะพระราชาจากต่างเมืองมากกว่ากระมัง..มีอะไรที่ยังไม่ได้บอกข้าใช่ไหม!?” ยิ่งเหมือนเพื่อนตัวน้อยท่าทางเขินอายอี้เฟิงก็ยิ่งอยากรู้

“มะ..ไม่มีๆๆๆ” อี้เฟิงหรี่ตามองอย่างไม่เชื่อคำพูด “อือออ ถ้าเจ้าไม่บอก เราไปถามองค์ราชาเองก็ได้” อี้เฟิงเตรียมตัวหันหลังออกไปจากห้อง ถูกเพื่อคว้าแขนไว้ซะก่อน

“ไม่ได้นะ!” หยางหยางรีบโพล่งขึ้น

“ถ้างั้นเจ้าก็บอกเรามาสิ ว่าไง..” แต่องค์รัชทายาทก็ได้แต่ยืนจับแขนเพื่อนไว้ไม่ตอบอันใด “ไม่บอกใช่ไหม...ได้เลยยยย นี่แหนะๆๆๆ” อี้เฟิงเห็นเพื่อนมัวแต่เขินอายจึงจี้เอวองค์ชาย จนคนโดนจี้ได้แต่หัวเราเอิ๊กอ๊ากยกใหญ่ลงไปนอนดิ้นอยู่กับพื้น แต่อีกฝ่ายก็ยังไม่หยุด ตามมาคร่อมร่างน้อยไว้

“พวกเจ้าทำอะไรกันหน่ะ!!!!” ในขณะที่เพื่อนทั้งสองกำลังหยอกล้อกันอยู่ ก็มีเสียงตะโกนมาจากหน้าประตู คนในห้องรีบหยุดแล้วหันไปดู หยางหยางรู้ดีว่าคนตรงหน้าเป็นใคร แต่อี้เฟิงไม่คุ้นหน้าผู้ชายคนนี้เสียเลย

“พระราชาวิลเลียม” องค์รัชทายาทเอ่ยชื่อออกมาราวกับเสียงกระซิบแต่อี้เฟิงที่อยู่ใกล้ได้ยินชัดเจน

“อ่าาาา คนนี้สินะ...หึหึ” อี้เฟิงหันไปยิ้มเจ้าเล่ห์ให้เพื่อนสนิทก่อนจะลุกขึ้นยืน

“ข้าองค์ชายอี้เฟิง ถวายบังคมพระราชาวิลเลียม” อี้เฟิงโค้งคำนับถวายความเคารพ “องค์รัชทายาทกำลังจะไปหาท่านอยู่พอดี ไหนๆท่านก็มาแล้ว งั้นข้าขอตัว” พูดจบก็หันไปขยิบตาให้เพื่อนแล้วรีบออกจากห้องไป

          เมื่อลับสายตาอีกคน องค์ราชาจึงปิดประตูแล้วค่อยๆย่างเท้าเข้าหาลูกแกะที่ยืนก้มหน้าตัวสั่นน้อยๆอยู่กลางห้อง

“ข้าบอกเจ้าแล้วเด็กน้อย ว่ายังไงซะ เจ้าก็หลบเลี่ยงข้าไม่พ้นหรอก” พระราชาที่ก้าวมาถึงตัวองค์ชายมือซ้ายก็คว้าหมับเข้าที่เอวคอดนั้นทันทีพลางใช้มืออีกข้างเชยคางให้อีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมาสบตา

“ทะ..ท่านต้องการสิ่งใดจากข้ากันแน่” ดวงตาใสๆมีน้ำเอ่อคลอเบาๆ

“ที่ข้ามาที่นี้ ก็มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่ข้าต้องการ.......คือเจ้าไงละ” พูดจบพระราชาก็โน้มหน้าลงจุมพิตองค์ชายทันที มือที่เชยคางเปลี่ยนไปบีบแก้มน้อยๆให้อีกฝ่ายเผยอปาก ก่อนเรียวลิ้นร้อนจะเข้าไปสำรวจความหวาน

“อะ...อืออออ ทะ ท่าน.. อือออ ข้า ข้า อ่าาาา” ไม่ปล่อยให้องค์ชายน้อยได้พูดอันใดอีก พระราชาวิลเลียมเอื้อมมือช้อนสะโพกยกตัวอีกฝ่ายขึ้นมา ด้วยความตกใจองค์ชายรีบกอดคอพระราชาไว้แน่นตะหวัดขาเกี่ยวเอวสอบไว้ ทั้งที่ยังไม่ละริมฝีปากออกจากกัน

“อืมมมมม...เจ้ายังหวานเหมือนเดิมเลยนะ” จูบที่แสนดูดดื่มยังคงดำเนินต่อไป พระราชาค่อยๆเดินไปยังโต๊ะกลางห้องวางร่างน้อยๆให้แนบไปกับโต๊ะ ส่วนตัวเองรีบตามลงไปจูบริมฝีปากหวานๆนั้นอีก

“ทะ ท่าน อืออออ ยะ อย่านะ อ๊ะะะะ” มือใหญ่ลูบไล้บีบเค้นไปตามลำตัวนุ่มนิ่ม ก่อนจะแหวกสาบเสื้อของคนใต้ร่างจนเผยให้เห็นหน้าอกและหัวไหล่ขาวเนียน พระราชาค่อยๆไล้ริมฝีปากต่ำลงมาตั้งแต่ลำคอ หัวไล่จนถึงหน้าอก ลิ้นสากลากผ่านตุ่มไตสีสวย ก่อนจะงับเบาๆ “อ่าาาาาา อืออออ มะ ไม่ ไม่นะ โอยยย” มือบางออกแรงผลักคนด้านบนแต่ก็ไม่เป็นผล ได้แต่บีบไหล่แกร่งระบายอารมณ์ที่เกิดจากทีอีกคนปรเปรอให้ 

“หึ...คำพูดกับร่างกายเจ้าช่างไม่ตรงกันซะเลยนะ แกะน้อย” องค์ราชาละริมฝีปากเงยหน้าสบตาลูกแกะน้อยในอ้อมกอด ใช้นิ้วเกลี่ยไล้แก้มขาวเนียนอย่างทะนุถนอม


“องค์รัชทายาท ฝ่าบาทมีรับสั่งให้เข้าเฝ้าพะยะค่ะ” เสียงดังหน้าประตูเรียกทั้งคู่ให้ออกจากภวังค์ องค์รัชทายาทรีบผลักอีกฝ่ายออก ก่อนจะลนลานใส่เสื้อผ้าที่หลุดลุ่ย


-----------------------------------TBC----------------------------------------