“Coincidence”
(ว่าด้วยเรื่องความบังเอิญ)
#Chen Bolin#
สนามบิน JFK ยามเย็นคับคั่งไปด้วยผู้คน
ทั้งผู้คนที่กำลังจะออกเดินทาง หรือผู้คนที่เพิ่งเดินทางมาถึงเช่นเดียวกับตัวผม ...
ปกติคนส่วนมากเวลาอกหักมักจะจัดการกับอาการเหล่านี้ยังไงกัน?
ส่วนผม..ผมแค่อยากออกไปจากสถานที่ที่เคยมีความทรงจำที่ผมไม่อยากจดจำมันอีกต่อไปแล้ว
หลังจากรอรับกระเป๋าเรียบร้อย ผมจัดการลากกระเป๋าไปตามทางเพื่อไปขึ้น
รถไฟใต้ดิน โชคดีที่อย่างน้อยผมก็วางแผนล่วงหน้ามาบ้างจึงจัดการจองโรงแรมมาก่อนแล้ว
ผมเลือกโรงแรมที่อยู่ใกล้ๆกับสถานีรถไฟใต้ดิน เพื่อความสะดวกในการเดินทาง
ส่วนตอนนี้ผมแค่อยากจะไปถึงโรงแรมให้เร็วที่สุด นอกจากจะเหนื่อยกายจากการเดินทางที่ยาวนานแล้ว
คือความเหนื่อยใจที่ผมไม่สามารถหยุดคิดถึงเรื่องที่ผมพยายามจะหนีมันจนมาไกลถึงขนาดนี้...แบบที่คนทั่วไปเรียกว่า
“หนีรัก”
เมื่อขึ้นมาบนขบวนรถไฟผมพยายามมองหาที่นั่งว่าง
แต่ดูเหมือนผมจะมาช้าไป และในขณะที่รถไฟค่อยๆออกตัว ผมจึงหันไปมองรอบๆเพื่อสังเกตชีวิตผู้คนต่างบ้านต่างเมือง
แต่แล้วสายตาของผมก็สะดุดกับร่างโปร่งที่ยืนติดประตูรถไฟทางฝั่งซ้าย ดูจากหน้าตาแล้วน่าจะเป็นคนเอเชียแบบเดียวกับผม
และดูท่าทางเขาเพิ่งจะเดินทางมาถึงเมืองนี้เช่นกัน เพราะสังเกตจากจำนวนกระเป๋ากับท่าทางเหนื่อยๆจนต้องพิงศีรษะเข้ากับกระจกกั้นที่นั่ง
ใบหน้าขาวใสดูน่ารักและปอยผมที่ยาวลงมาไล้ข้างแก้มแดงๆนั้น ทำให้ผมไม่สามารถละสายตาไปได้เลย
และคงเพราะผมเผลอจ้องนานเกินไปจนอีกฝ่ายรู้สึกตัวถึงได้หันมาสบตา ผมสะดุ้งเล็กน้อยและทำตัวไม่ถูกเมื่อถูกจับได้ว่าแอบมอง
ผมจึงทำได้เพียงส่งยิ้มแห้งๆไปให้อีกฝ่าย ผมคิดว่าคนตรงหน้าจะโกรธที่ถูกจ้องหน้า
แต่เขาแค่มองหน้าผมสักพักแล้วส่งยิ้มกลับมา มันช่างเป็นรอยยิ้มที่สดใสที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาเลยก็ว่าได้
ใบหน้าน่ารักที่ประดับด้วยรอยยิ้มสวยๆทำเอาผมเกือบทรงตัวไม่อยู่
และในขณะที่ผมลังเลอยู่ในใจว่าควรจะเข้าไปทักทายอีกฝ่ายดีไหม
รถไฟก็เข้าเทียบชานชลาที่สถานี Jamaica ร่างโปร่งรีบหยิบกระเป๋าแล้วหันหลังก้าวออกจากประตูไป ผมเดาเอาเองว่าเขาคงเปลี่ยนสายไปทาง
upper east side เมื่อรถไปเริ่มเคลื่อนตัวออกจากสถานีอีกครั้งทำให้ผมได้กลับมาอยู่กับความคิดของตัวเอง
และหวนให้นึกถึงเหตุการณ์เลวร้ายต่างๆที่ว่าทำไมผมถึงต้องมาไกลถึงที่นี่
ใช้เวลาเดินทางอีกสักพักใหญ่ผมก็มาถึงสถานีที่เป็นจุดหมายปลายทาง
ผู้คนเร่งรีบออกจากขบวนรถ ตัวผมเองก็เช่นกัน
ตอนนี้รู้สึกเมื่อยล้าจากการเดินทางหลายสิบชั่วโมง
โชคดีที่ผมจองโรงแรมอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟฟ้าใกล้ดิน
ผมเลือกที่นี้เพราะอยู่ติดกับ Central Park และ Columbus Circle ใช้เวลาเดินไม่นานก็มายืนอยู่หน้าโรงแรม
ตอนนี้เป็นเวลาเกือบสองทุ่มแล้ว
ผมจึงรีบลากกระเป๋าเข้าไปเช็คอินที่โรงแรมทันที
พอเข้ามาในห้องพักที่จองไว้ได้ผมรีบสลัดทุกอย่างแล้วล้มตัวลงนอนบนเตียง ห้องพักที่นี่ตกแต่งสไตล์โทเดิร์น
ห้องสีขาวตัดกับเฟอร์นิเจอร์สีน้ำตาลเข้ม ข้างๆเตียงเป็นหน้าต่างบานยาวมองเห็นวิวของ Central Park ได้อย่างชัดเจน
ผมเผลบหลับไปจนมารู้สึกตัวอีกทีเมื่อแสงแดดของเช้าวันใหม่ส่องมากระทบ
เมื่อหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นเวลาแปดโมงเช้าแล้วจึงค่อยๆยันตัวลุกขึ้นนั่ง
มีอาการปวดหัวนิดหน่อยคงเพราะเจ็ทแล็ค หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ผมกำลังคิดว่าวันนี้จะไปที่ไหนดี
ถึงจะเคยมาอเมริกาแล้วบ้างแต่นี่เป็นครั้งแรกที่แบ็คแพ็คมาเองคนเดียว
เลยเอาเป็นว่าทานข้าวเช้าเสร็จคงเดินเตร่แถวโรงแรมดูไปก่อน
ช่วงนี้ที่นิวยอร์กกำลังจะเข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ผลิอากาศจึงยังไม่ร้อนมาก
ผู้คนออกมาเดินเล่นกันอย่างคึกคัก ผมออกจากโรงแรมช่วงประมาณ10โมงเช้า เดินเล่นไปตามถนนบอร์ดเวย์เรื่อยๆ
ก่อนตัดสินใจมองหาร้านคาเฟ่สักร้าน วนรอบ Columbus Circle สักพักก็เจอกับคาเฟ่ argo tea café มีโต๊ะให้นั่งบริเวณนอกร้านด้วย
ผมจึงเดินเข้าไปสั่งกาแฟก่อนกลับออกมานั่งที่โต๊ะ จิบกาแฟไปพลางมองดูคนเดินผ่านไปมา
แต่แล้วสายตาผมก็ไปสะดุดกับร่างโปร่งฝั่งตรงข้ามของถนน
ที่สะดุดตาเพราะผมจำเค้าได้แม่นยำแม้จะเพิ่งเคยเห็นแค่ครั้งเดียว ผู้ชายเอเชียผมยาวบวกกับรูปร่างผอมเพียว
วันนี้เค้าใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว สวมแว่นกันแดด อ่า...อยู่ๆใจผมก็เต้นแรงอีกแล้วสิ
มองอยู่สักพักเค้าก็ข้ามถนนมาถึงฝั่งร้านที่ผมนั่งอยู่
ผมจึงรีบหลบสายตาไปมองทางอื่น รอให้เค้าเดินผ่านไป ...
แต่ก่อนเค้าจะเดินผ่านก็มีเสียงทักผมขึ้นมาว่า
“Can I sit
at your table?”.....
#Jing Boran#
“นิวยอร์ก!
เรามาถึงแล้ววววววว!!”
หลังลงจากเครื่องบินผมก็ตะโกนลั่นออกมาจนคนที่กำลังเดินๆอยู่หันมองผมเป็นตาเดียว
..แต่ช่วยไม่ได้ ก็ผมดีใจนี่หน่า นี่เป็นครั้งแรกที่ผมมาเที่ยวไกลขนาดนี้
ก่อนหน้านี้ผมคุยกับพ่อแม่ไว้ว่าถ้าเรียนจบแล้วอยากจะลองแบ็คแพ็คไปเที่ยวอเมริกาสักครั้ง
คุยอยู่นานกว่าพ่อแม่จะยอมใจอ่อน ก็แน่ละ ลูกชายคนเดียวแถมยังไปตั้งไกล
แต่ในที่สุดผมก็มาถึงแล้ว...
หลังจากรับกระเป๋าเสร็จเรียบร้อยผมก็ต้องไปขึ้นรถไฟใต้ดิน ..อืมมมม
ที่อเมริกาเค้าเรียกกันว่า “Subway” สินะ โอเค.. Let’s
gooooo~
ในขบวนรถไฟใต้ดินคนค่อนข้างเยอะไม่มีที่นั่งว่างเลยจนผมต้องยืน
ผมเลือกยืนใกล้ประตู จัดการวางกระเป๋าสัมภาระไว้ข้างๆตัวแล้วพักกระจกด้วยความเหนื่อยล้า
เดินทางตั้ง10กว่าชั่วโมง
ผมไม่เคยเดินทางนานขนาดนี้เลยจริงๆ ระหว่างกำลังคิดอะไรเพลินๆ ผมก็รู้สึกขนลุกแปลกๆ
เหมือนว่ามีคนกำลังจ้องผมอยู่ ผมเลยค่อยๆไล่สายตาไปทีละนิด
จนสบตาเข้ากับผู้ชายคนหนึ่ง มองครั้งแรกผมพูดได้เลยว่าเค้าหล่อมาก ผิวค่อนข้างคล้ำ
ผมว่าหนวดของเค้าทำให้เค้าดูมาเสน่ห์แล้วก็ดูเท่มากๆเลยหละ แล้วดูจากท่าทางจะเป็นคนเอเชียแบ็คแพ็คมาเที่ยวเองเหมือนกันแหะ
แต่นี่..เค้าจ้องผมอยู่นานแล้วนะ จะว่าไปมาต่างบ้านต่างเมืองแบบนี้ถ้าทำความรู้จักกันไว้จะดีไหมนะ
ดูท่าทางเค้าก็ดูเป็นคนใจดีออก ในช่วงจังหวะที่ผมกำลังลังเลอยู่นั้เองรถไปก็มาเทียบท่าสถานีที่ผมต้องเปลี่ยนไปอีกสาย
ผมจึงจำเป็นต้องรีบเก็บกระเป๋าออกจากขบวนไป....น่าเสียดายแหะ
พอมาถึงโรงแรมผมก็รีบเข้าไปเช็คอินทันที
ห้องของผมมองเห็นวิว Central Park ด้วย อ่าาาา...ดีจังเลยน้าาาา
ห้องพักตกแต่งด้วยสไตล์ที่ค่อนข้างหรูหราเลยทีเดียว หลังจากจัดการข้าวของเสร็จ
ผมก็ตัดสินใจนอนพักผ่อนเป็นอันดับแรก เพิ่งเคยเจ็ทแล็ค ฮืออออ ปวดหัวชะมัดเลย...
ผมตื่นเช้ามาพร้อมกับอาการปวดหัวที่หลงเหลืออยู่นิดหน่อย
หลังจากทานอาหารที่โรงแรมเสร็จก็ออกเดินทางทันที
วันนี้ผมตั้งใจว่าจะเดินถ่ายรูปเล่นเรียบๆ Central Park ไปก่อน
ระหว่างเดินผมก็ถ่ายรูปไปเรื่อยๆจะได้เอาไปให้พ่อกับแม่ดูด้วย
เดินมาประมาณ15นาทีผมก็เดินมาถึง
Columbus Circle วันนี้อากาศดีจริงๆ
แต่อาการปวดหัวนี่สิ ผมเลยคิดว่าจะหากาแฟดื่มสักแก้ว จำได้ว่าตอนเดินมาเห็นมีคาเฟ่อยู่อีกฝั่งของถนน
ในขณะรอข้ามถนนที่โต๊ะหนึ่งหน้าร้านผมเห็นผู้ชายหน้าตาท่าทางคุ้นๆ อ่าาาา ..
ผู้ชายคนที่เจอในซับเวย์นี่หน่า พอข้ามถนนได้ผมจึงเดินตรงเข้าไปหา
แต่เค้ากลับทำเหมือนพยายามหลบผมอย่างงั้นแหละ
“Can I sit
at your table?” ดูท่าทางเค้าจะตกใจที่ผมทัก ก่อนจะหันไปมองรอบๆ และ
ไม่รอคำตอบผมก็นั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามเค้าทันที ก่อนจะเปิดบทสนทนาถัดไป
“Where are
you from?” เค้ายังคงทำท่าทางเลิกลั่กอยู่ก่อนจะตอบออกมาเบาๆ “China” กลายเป็นว่าคำตอบของเค้าทำให้ผมประหลาดใจ
“อ้าว..เป็นคนจีนเหมือนกันเลย” อีกฝ่ายแค่งืมงำออกมาเล็กน้อยแล้วตั้งหน้าตั้งตาดื่มกาแฟต่อไป
จนผมอดสงสัยไม่ได้ว่าหน้าตาผมไม่เป็นมิตรขนาดนั้นเลยหรือไงกัน
ผมตัดสินใจเดินเข้าไปสั่งกาแฟก่อนเดินกลับมาที่โต๊ะเพื่อบอกลาอีก
ผมเดินออกมาได้ไม่นาน จู่ๆก็มีผู้ชายวิ่งมาดักข้างหน้าผมไว้
เค้าหยุดอยู่ตรงหน้าคร่อมตัวเอามือเท้าไว้ที่หัวเข่า หอบหายใจอยู่สักพัก
ก่อนจะยืดตัวตรงแล้วถามผมว่า
“คุณชื่ออะไร?”
ผมค่อยๆคลี่ยิ้มแล้วตอบกลับไป “จิ่งป๋อหรันครับ”
เค้ายิ้มตอบกลับพร้อมยื่นมือมาข้างหน้า “ผมเฉินป๋อหลิน....ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
---------------------------End---------------------------