วันพุธที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

“Coincidence” (Chen Bolin x Jing Boran)





“Coincidence”
(ว่าด้วยเรื่องความบังเอิญ)






#Chen Bolin#  


สนามบิน JFK ยามเย็นคับคั่งไปด้วยผู้คน ทั้งผู้คนที่กำลังจะออกเดินทาง หรือผู้คนที่เพิ่งเดินทางมาถึงเช่นเดียวกับตัวผม ...

ปกติคนส่วนมากเวลาอกหักมักจะจัดการกับอาการเหล่านี้ยังไงกัน? ส่วนผม..ผมแค่อยากออกไปจากสถานที่ที่เคยมีความทรงจำที่ผมไม่อยากจดจำมันอีกต่อไปแล้ว




หลังจากรอรับกระเป๋าเรียบร้อย ผมจัดการลากกระเป๋าไปตามทางเพื่อไปขึ้น รถไฟใต้ดิน โชคดีที่อย่างน้อยผมก็วางแผนล่วงหน้ามาบ้างจึงจัดการจองโรงแรมมาก่อนแล้ว ผมเลือกโรงแรมที่อยู่ใกล้ๆกับสถานีรถไฟใต้ดิน เพื่อความสะดวกในการเดินทาง 

ส่วนตอนนี้ผมแค่อยากจะไปถึงโรงแรมให้เร็วที่สุด นอกจากจะเหนื่อยกายจากการเดินทางที่ยาวนานแล้ว คือความเหนื่อยใจที่ผมไม่สามารถหยุดคิดถึงเรื่องที่ผมพยายามจะหนีมันจนมาไกลถึงขนาดนี้...แบบที่คนทั่วไปเรียกว่า “หนีรัก”



          เมื่อขึ้นมาบนขบวนรถไฟผมพยายามมองหาที่นั่งว่าง แต่ดูเหมือนผมจะมาช้าไป และในขณะที่รถไฟค่อยๆออกตัว ผมจึงหันไปมองรอบๆเพื่อสังเกตชีวิตผู้คนต่างบ้านต่างเมือง 


แต่แล้วสายตาของผมก็สะดุดกับร่างโปร่งที่ยืนติดประตูรถไฟทางฝั่งซ้าย ดูจากหน้าตาแล้วน่าจะเป็นคนเอเชียแบบเดียวกับผม และดูท่าทางเขาเพิ่งจะเดินทางมาถึงเมืองนี้เช่นกัน เพราะสังเกตจากจำนวนกระเป๋ากับท่าทางเหนื่อยๆจนต้องพิงศีรษะเข้ากับกระจกกั้นที่นั่ง ใบหน้าขาวใสดูน่ารักและปอยผมที่ยาวลงมาไล้ข้างแก้มแดงๆนั้น ทำให้ผมไม่สามารถละสายตาไปได้เลย และคงเพราะผมเผลอจ้องนานเกินไปจนอีกฝ่ายรู้สึกตัวถึงได้หันมาสบตา ผมสะดุ้งเล็กน้อยและทำตัวไม่ถูกเมื่อถูกจับได้ว่าแอบมอง ผมจึงทำได้เพียงส่งยิ้มแห้งๆไปให้อีกฝ่าย ผมคิดว่าคนตรงหน้าจะโกรธที่ถูกจ้องหน้า แต่เขาแค่มองหน้าผมสักพักแล้วส่งยิ้มกลับมา มันช่างเป็นรอยยิ้มที่สดใสที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมาเลยก็ว่าได้ ใบหน้าน่ารักที่ประดับด้วยรอยยิ้มสวยๆทำเอาผมเกือบทรงตัวไม่อยู่ 


และในขณะที่ผมลังเลอยู่ในใจว่าควรจะเข้าไปทักทายอีกฝ่ายดีไหม รถไฟก็เข้าเทียบชานชลาที่สถานี Jamaica ร่างโปร่งรีบหยิบกระเป๋าแล้วหันหลังก้าวออกจากประตูไป ผมเดาเอาเองว่าเขาคงเปลี่ยนสายไปทาง upper east side เมื่อรถไปเริ่มเคลื่อนตัวออกจากสถานีอีกครั้งทำให้ผมได้กลับมาอยู่กับความคิดของตัวเอง และหวนให้นึกถึงเหตุการณ์เลวร้ายต่างๆที่ว่าทำไมผมถึงต้องมาไกลถึงที่นี่




          ใช้เวลาเดินทางอีกสักพักใหญ่ผมก็มาถึงสถานีที่เป็นจุดหมายปลายทาง ผู้คนเร่งรีบออกจากขบวนรถ ตัวผมเองก็เช่นกัน ตอนนี้รู้สึกเมื่อยล้าจากการเดินทางหลายสิบชั่วโมง โชคดีที่ผมจองโรงแรมอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟฟ้าใกล้ดิน ผมเลือกที่นี้เพราะอยู่ติดกับ Central Park และ Columbus Circle ใช้เวลาเดินไม่นานก็มายืนอยู่หน้าโรงแรม


ตอนนี้เป็นเวลาเกือบสองทุ่มแล้ว ผมจึงรีบลากกระเป๋าเข้าไปเช็คอินที่โรงแรมทันที พอเข้ามาในห้องพักที่จองไว้ได้ผมรีบสลัดทุกอย่างแล้วล้มตัวลงนอนบนเตียง ห้องพักที่นี่ตกแต่งสไตล์โทเดิร์น ห้องสีขาวตัดกับเฟอร์นิเจอร์สีน้ำตาลเข้ม ข้างๆเตียงเป็นหน้าต่างบานยาวมองเห็นวิวของ Central Park ได้อย่างชัดเจน





ผมเผลบหลับไปจนมารู้สึกตัวอีกทีเมื่อแสงแดดของเช้าวันใหม่ส่องมากระทบ เมื่อหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นเวลาแปดโมงเช้าแล้วจึงค่อยๆยันตัวลุกขึ้นนั่ง มีอาการปวดหัวนิดหน่อยคงเพราะเจ็ทแล็ค หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ผมกำลังคิดว่าวันนี้จะไปที่ไหนดี ถึงจะเคยมาอเมริกาแล้วบ้างแต่นี่เป็นครั้งแรกที่แบ็คแพ็คมาเองคนเดียว เลยเอาเป็นว่าทานข้าวเช้าเสร็จคงเดินเตร่แถวโรงแรมดูไปก่อน




ช่วงนี้ที่นิวยอร์กกำลังจะเข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ผลิอากาศจึงยังไม่ร้อนมาก ผู้คนออกมาเดินเล่นกันอย่างคึกคัก ผมออกจากโรงแรมช่วงประมาณ10โมงเช้า เดินเล่นไปตามถนนบอร์ดเวย์เรื่อยๆ ก่อนตัดสินใจมองหาร้านคาเฟ่สักร้าน วนรอบ Columbus Circle สักพักก็เจอกับคาเฟ่ argo tea café มีโต๊ะให้นั่งบริเวณนอกร้านด้วย ผมจึงเดินเข้าไปสั่งกาแฟก่อนกลับออกมานั่งที่โต๊ะ จิบกาแฟไปพลางมองดูคนเดินผ่านไปมา แต่แล้วสายตาผมก็ไปสะดุดกับร่างโปร่งฝั่งตรงข้ามของถนน ที่สะดุดตาเพราะผมจำเค้าได้แม่นยำแม้จะเพิ่งเคยเห็นแค่ครั้งเดียว ผู้ชายเอเชียผมยาวบวกกับรูปร่างผอมเพียว วันนี้เค้าใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว สวมแว่นกันแดด อ่า...อยู่ๆใจผมก็เต้นแรงอีกแล้วสิ


มองอยู่สักพักเค้าก็ข้ามถนนมาถึงฝั่งร้านที่ผมนั่งอยู่ ผมจึงรีบหลบสายตาไปมองทางอื่น รอให้เค้าเดินผ่านไป ... แต่ก่อนเค้าจะเดินผ่านก็มีเสียงทักผมขึ้นมาว่า




“Can I sit at your table?.....













#Jing Boran#  


            “นิวยอร์ก! เรามาถึงแล้ววววววว!!” 


หลังลงจากเครื่องบินผมก็ตะโกนลั่นออกมาจนคนที่กำลังเดินๆอยู่หันมองผมเป็นตาเดียว ..แต่ช่วยไม่ได้ ก็ผมดีใจนี่หน่า นี่เป็นครั้งแรกที่ผมมาเที่ยวไกลขนาดนี้ ก่อนหน้านี้ผมคุยกับพ่อแม่ไว้ว่าถ้าเรียนจบแล้วอยากจะลองแบ็คแพ็คไปเที่ยวอเมริกาสักครั้ง คุยอยู่นานกว่าพ่อแม่จะยอมใจอ่อน ก็แน่ละ ลูกชายคนเดียวแถมยังไปตั้งไกล แต่ในที่สุดผมก็มาถึงแล้ว...



หลังจากรับกระเป๋าเสร็จเรียบร้อยผมก็ต้องไปขึ้นรถไฟใต้ดิน ..อืมมมม ที่อเมริกาเค้าเรียกกันว่า “Subway” สินะ โอเค.. Let’s gooooo~




          ในขบวนรถไฟใต้ดินคนค่อนข้างเยอะไม่มีที่นั่งว่างเลยจนผมต้องยืน ผมเลือกยืนใกล้ประตู จัดการวางกระเป๋าสัมภาระไว้ข้างๆตัวแล้วพักกระจกด้วยความเหนื่อยล้า เดินทางตั้ง10กว่าชั่วโมง ผมไม่เคยเดินทางนานขนาดนี้เลยจริงๆ ระหว่างกำลังคิดอะไรเพลินๆ ผมก็รู้สึกขนลุกแปลกๆ เหมือนว่ามีคนกำลังจ้องผมอยู่ ผมเลยค่อยๆไล่สายตาไปทีละนิด จนสบตาเข้ากับผู้ชายคนหนึ่ง มองครั้งแรกผมพูดได้เลยว่าเค้าหล่อมาก ผิวค่อนข้างคล้ำ ผมว่าหนวดของเค้าทำให้เค้าดูมาเสน่ห์แล้วก็ดูเท่มากๆเลยหละ แล้วดูจากท่าทางจะเป็นคนเอเชียแบ็คแพ็คมาเที่ยวเองเหมือนกันแหะ แต่นี่..เค้าจ้องผมอยู่นานแล้วนะ จะว่าไปมาต่างบ้านต่างเมืองแบบนี้ถ้าทำความรู้จักกันไว้จะดีไหมนะ ดูท่าทางเค้าก็ดูเป็นคนใจดีออก ในช่วงจังหวะที่ผมกำลังลังเลอยู่นั้เองรถไปก็มาเทียบท่าสถานีที่ผมต้องเปลี่ยนไปอีกสาย ผมจึงจำเป็นต้องรีบเก็บกระเป๋าออกจากขบวนไป....น่าเสียดายแหะ




          พอมาถึงโรงแรมผมก็รีบเข้าไปเช็คอินทันที ห้องของผมมองเห็นวิว Central Park ด้วย อ่าาาา...ดีจังเลยน้าาาา ห้องพักตกแต่งด้วยสไตล์ที่ค่อนข้างหรูหราเลยทีเดียว หลังจากจัดการข้าวของเสร็จ ผมก็ตัดสินใจนอนพักผ่อนเป็นอันดับแรก เพิ่งเคยเจ็ทแล็ค ฮืออออ ปวดหัวชะมัดเลย...




          ผมตื่นเช้ามาพร้อมกับอาการปวดหัวที่หลงเหลืออยู่นิดหน่อย หลังจากทานอาหารที่โรงแรมเสร็จก็ออกเดินทางทันที วันนี้ผมตั้งใจว่าจะเดินถ่ายรูปเล่นเรียบๆ Central Park ไปก่อน ระหว่างเดินผมก็ถ่ายรูปไปเรื่อยๆจะได้เอาไปให้พ่อกับแม่ดูด้วย



เดินมาประมาณ15นาทีผมก็เดินมาถึง Columbus Circle วันนี้อากาศดีจริงๆ แต่อาการปวดหัวนี่สิ ผมเลยคิดว่าจะหากาแฟดื่มสักแก้ว จำได้ว่าตอนเดินมาเห็นมีคาเฟ่อยู่อีกฝั่งของถนน ในขณะรอข้ามถนนที่โต๊ะหนึ่งหน้าร้านผมเห็นผู้ชายหน้าตาท่าทางคุ้นๆ อ่าาาา .. ผู้ชายคนที่เจอในซับเวย์นี่หน่า พอข้ามถนนได้ผมจึงเดินตรงเข้าไปหา แต่เค้ากลับทำเหมือนพยายามหลบผมอย่างงั้นแหละ




“Can I sit at your table? ดูท่าทางเค้าจะตกใจที่ผมทัก ก่อนจะหันไปมองรอบๆ และ ไม่รอคำตอบผมก็นั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามเค้าทันที ก่อนจะเปิดบทสนทนาถัดไป

Where are you from?” เค้ายังคงทำท่าทางเลิกลั่กอยู่ก่อนจะตอบออกมาเบาๆ “China” กลายเป็นว่าคำตอบของเค้าทำให้ผมประหลาดใจ

“อ้าว..เป็นคนจีนเหมือนกันเลย” อีกฝ่ายแค่งืมงำออกมาเล็กน้อยแล้วตั้งหน้าตั้งตาดื่มกาแฟต่อไป จนผมอดสงสัยไม่ได้ว่าหน้าตาผมไม่เป็นมิตรขนาดนั้นเลยหรือไงกัน ผมตัดสินใจเดินเข้าไปสั่งกาแฟก่อนเดินกลับมาที่โต๊ะเพื่อบอกลาอีก




ผมเดินออกมาได้ไม่นาน จู่ๆก็มีผู้ชายวิ่งมาดักข้างหน้าผมไว้ เค้าหยุดอยู่ตรงหน้าคร่อมตัวเอามือเท้าไว้ที่หัวเข่า หอบหายใจอยู่สักพัก ก่อนจะยืดตัวตรงแล้วถามผมว่า
“คุณชื่ออะไร?”
ผมค่อยๆคลี่ยิ้มแล้วตอบกลับไป “จิ่งป๋อหรันครับ”

เค้ายิ้มตอบกลับพร้อมยื่นมือมาข้างหน้า “ผมเฉินป๋อหลิน....ยินดีที่ได้รู้จักครับ” 




---------------------------End---------------------------